เคล็ดลับความงาม
5 เหตุผล ทำไมต้องใช้คลีนซิ่งบาล์ม? ตัวช่วยล้างเมคอัพที่สายแต่งหน้าต้องมี
คลีนซิ่งบาล์ม (Cleansing Balm) กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากโดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Y-Z ที่ต้องการสกินแคร์ที่ สะอาด อ่อนโยน ใช้ง่าย และเห็นผลจริง แต่คำถามคือ… ทำไมคลีนซิ่งบาล์มถึงดีกว่าคลีนซิ่งแบบอื่น? และ เหมาะกับผิวแบบไหน? บทความนี้จะพาไปดู 5 เหตุผลที่ทำให้คลีนซิ่งบาล์มกลายเป็น Must-Have สำหรับคนที่แต่งหน้า หรือทากันแดดทุกวัน รวมถึงแนะนำคลีนซิ่งบาล์มที่ตอบโจทย์คนผิวแพ้ง่ายแบบสุด ๆ 1. คลีนซิ่งบาล์มละลายเมคอัพหนักได้ดีกว่าจริง หนึ่งในเหตุผลอันดับต้น ๆ ที่หลายคนเปลี่ยนมาใช้ คลีนซิ่งบาล์ม เพราะเนื้อบาล์มมี “น้ำมัน” ที่เข้ากับโครงสร้างของเมคอัพได้ดี จึงสามารถดึงคราบเครื่องสำอางออกได้เร็วกว่าแบบอื่น จุดเด่นที่เหนือกว่า: ละลายรองพื้นกันน้ำและเมคอัพแน่นได้ไว ลิปแมตต์ติดทนก็ออกง่าย ไม่ต้องถูแรง ไม่ทำร้ายผิว ลดการใช้สำลี ช่วยลดการเสียดสีบนผิว เหมาะมากสำหรับคนที่แต่งหน้าหนัก หรือใช้เมคอัพสูตร Long-wear เป็นประจำ 2. อ่อนโยนต่อผิวแพ้ง่าย ไม่ทำร้าย Skin Barrier หลายคนอาจไม่รู้ว่า สกินแบร์ริเออร์ (Skin Barrier) คือด่านสำคัญที่ทำให้ผิวแข็งแรง และคลีนซิ่งบางชนิดทำให้ผิวพังได้ง่ายเพราะมีแอลกอฮอล์หรือสารทำความสะอาดแรง ๆ แต่ คลีนซิ่งบาล์มส่วนใหญ่ไม่มีแอลกอฮอล์ และมีสูตรที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิว จุดเด่นด้านความอ่อนโยน: ไม่ทำให้ผิวแห้งตึง ลดการระคายเคือง ช่วยถนอม Skin Barrier ลดโอกาสเกิดสิวอุดตันระยะยาว เหมาะกับผิวแพ้ง่าย ผิวแห้ง ผิวอักเสบง่าย และคนที่ล้างหน้าบ่อย 3. เติมความชุ่มชื้นตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการล้างหน้า นี่คือข้อดีที่หลายคนไม่รู้ คลีนซิ่งบาล์มล้างแล้วผิวจะนุ่ม ชุ่ม ไม่แห้งตึง เหมือนมีมอยส์เจอร์เคลือบผิวไว้ทันที เมื่อเทียบกับคลีนซิ่งวอเตอร์หรือโฟมล้างหน้า: ไม่ดึงน้ำออกจากผิว ลดความรู้สึกแห้งหลังล้าง เหมาะกับผิวแห้งและผิวขาดน้ำมาก ๆ สำหรับสายแต่งหน้าทุกวัน บาล์มคือ “สเต็ปกู้ผิว” ที่ช่วยเติมน้ำให้ผิวไปในตัว 4. เหมาะมากสำหรับคนที่ทำ Double Cleansing สำหรับคนที่ทากันแดดหรือแต่งหน้าทุกวัน ขั้นตอน Double Cleansing ถือว่าสำคัญมาก เพราะการล้างหน้า 1 ครั้งมักไม่พอ การล้าง 2 ขั้นตอนควรเป็นแบบนี้: 1️⃣ คลีนซิ่งบาล์ม – ดึงเมคอัพ ครีมกันแดด และความมัน 2️⃣ โฟมล้างหน้า – เคลียร์สิ่งสกปรกที่เหลือบนผิวและรูขุมขน การล้างแบบนี้ช่วยลดการอุดตันได้ดีมาก ทำให้สิวขึ้นน้อยลงและผิวสะอาดลึกขึ้นอย่างเห็นผล 5. ใช้ง่าย พกสะดวก ไม่หกไม่เลอะเหมือนคลีนซิ่งออยล์ ข้อดีของ Cleansing Balm ที่ทุกคนรักคือ “ใช้ง่ายและไม่เลอะ” เพราะเนื้อบาล์มเป็นของแข็งในกระปุก พกเดินทางได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะหก วิธีใช้ก็ง่ายมาก: แต้มลงบนผิวแห้ง นวดจนเนื้อบาล์มละลายเป็นน้ำมัน เติมน้ำจนเป็นเนื้อน้ำนม ล้างออกได้ทันที เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความคลีน + สะดวก + ไม่วุ่นวาย แล้วคลีนซิ่งบาล์มแบบไหนที่ควรใช้? ถ้าคุณกำลังมองหา คลีนซิ่งบาล์มล้างเมคอัพเกลี้ยง อ่อนโยน และเหมาะสำหรับผิวทุกแบบ ขอแนะนำตัวนี้ KMA BASE Melting Balm KMA BASE Melting Balm จุดเด่นที่ทำให้หลายคนยกให้เป็น “บาล์มล้างหน้าที่ดีที่สุดตัวหนึ่ง” ละลายเมคอัพกันน้ำได้เร็วมาก รองพื้นแน่น ลิปติดทน มาสคาร่ากันน้ำ ก็ล้างออกง่าย ไม่ต้องถูแรง ผิวนุ่ม ชุ่ม หลังล้าง ไม่แห้ง ไม่ตึง มีส่วนผสมที่ช่วยล็อกความชุ่มชื้น ทำให้ผิวดูฟูทันทีหลังใช้ อ่อนโยนกับผิวแพ้ง่าย ปราศจาก ALCOHOL • PARABEN • MINERAL OIL • SILICONE • COLORANT ไม่ทำลาย Skin Barrier ล้างออกง่าย ไม่แสบตา เนื้อบาล์มแตกตัวเป็น “น้ำนม” เมื่อโดนน้ำ ทำให้ล้างเมคอัพได้ล้ำลึกโดยไม่ทิ้งคราบมัน ✔ อัดแน่นด้วยสารสกัดปลอบประโลมผิว สารสกัดพืชสีชมพู → ชุ่มชื้น นุ่มเด้ง ว่านหางจระเข้ → ลดการระคายเคือง น้ำมันอัลมอนด์ → ป้องกันริ้วรอยก่อนวัย น้ำมันเมล็ดราสเบอร์รี่ → ผิวเปล่งปลั่ง สารสกัดชาเขียว → ต้านริ้วรอยและปลอบประโลม เหมาะกับใคร? สายแต่งหน้าทุกวัน คนผิวแพ้ง่าย คนที่ผิวแห้ง/ขาดน้ำ คนที่อยากล้างหน้าแบบสะอาดลึก แต่ไม่ทำร้ายผิว คนที่ต้องการคลีนซิ่งบาล์มที่ “ไม่แสบตาและไม่เหนอะ” ✨ สรุป: ทำไม “คลีนซิ่งบาล์ม” ควรอยู่ในทุกโต๊ะเครื่องแป้ง? เพราะมันคือคลีนซิ่งที่ สะอาดที่สุด อ่อนโยนที่สุด และช่วยดูแลผิวได้ตั้งแต่ขั้นตอนแรก โดยเฉพาะคนที่แต่งหน้าหรือทากันแดดทุกวัน การใช้ Cleansing Balm คือจุดเริ่มต้นของผิวที่ดีในระยะยาว และถ้าคุณกำลังหาตัวที่ ล้างสะอาด + ผิวนุ่ม + ใช้ง่าย + ปลอดภัยสำหรับผิวแพ้ง่ายKMA BASE Melting Balm คือคำตอบที่ใช่สำหรับคุณ
อ่านต่อ >>เป๊ะปังไม่โป๊ะ! คู่มือเลือก เฉดสีรองพื้น KMA Water Resist 6 เฉด ให้เข้ากับอันเดอร์โทนผิวคนไทย
รองพื้น KMA Water Resist Liquid Foundation เป็นที่รู้กันดีว่ามีคุณสมบัติเด่นเรื่อง กันน้ำกันเหงื่อ และ คุมมัน ได้ดีเยี่ยม เหมาะสำหรับสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย แต่เพื่อให้ผิวสวยสมบูรณ์แบบที่สุด การเลือก เฉดสีรองพื้น ให้ตรงกับผิวจริงเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ KMA เข้าใจความหลากหลายของสีผิวคนไทย จึงได้ออกแบบมาถึง 6 เฉดสีหลัก ตั้งแต่ผิวขาวอมชมพูไปจนถึงผิวสีน้ำผึ้ง KMA Water Resist เหมาะกับผิวแบบไหน? และใช้สถานการณ์ใด? รองพื้นรุ่นนี้ถูกคิดค้นมาเพื่อตอบโจทย์สภาพผิวและอากาศของคนไทยโดยเฉพาะ ด้วยคุณสมบัติหลักที่เน้นการปกปิดและติดทน: เหมาะกับสภาพผิว ผิวมัน/ผิวผสม: เหมาะสมที่สุด เพราะสูตรเน้นการ คุมมัน ได้ดีเยี่ยม (สูงสุด 12 ชม.) และให้ฟินิชแบบ ซอฟต์แมตต์ (Soft Matte) ทำให้เมคอัพไม่ไหลเยิ้ม ผิวธรรมดา: สามารถใช้ได้ดี ให้ผิวที่สวยเป๊ะและติดทน แต่ควรบำรุงผิวตามปกติ ผิวแห้ง: หากต้องการใช้ ควรเน้นการเตรียมผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์และไพรเมอร์สูตรชุ่มชื้นเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อรองพื้นเกาะเป็นคราบหรือตกร่อง ก่อนเลือก เช็ค "อันเดอร์โทน" (Undertone) ให้ชัวร์! 💡 การรู้โทนสีใต้ผิวจะช่วยให้คุณเลือกสีรองพื้นที่กลมกลืน ไม่ดูเทาหรือเหลืองเกินไป: Cool (โทนเย็น/อมชมพู): เส้นเลือดบริเวณข้อมือมักเป็นสี น้ำเงิน/ม่วง Warm (โทนอุ่น/อมเหลือง): เส้นเลือดบริเวณข้อมือมักเป็นสี เขียว Neutral (โทนกลาง): เส้นเลือดออกสี เขียวแกมน้ำเงิน สามารถใช้ได้ทั้งรองพื้นโทนชมพูและโทนเหลือง คู่มือ 6 เฉดสีรองพื้น KMA Water Resist 00: Porcelain คำอธิบายเฉดสี: ผิวขาวสว่างที่สุด เหมาะสำหรับผิว/อันเดอร์โทน: ผิวขาวมาก โทนเย็น (อมชมพู) 01: Vanilla คำอธิบายเฉดสี: ผิวขาวธรรมชาติ เหมาะสำหรับผิว/อันเดอร์โทน: ผิวขาวทั่วไป โทนกลาง (Neutral) ถึงโทนอุ่น (ธรรมชาติ) 02: Nude คำอธิบายเฉดสี: ผิวขาวเหลือง เหมาะสำหรับผิว/อันเดอร์โทน: ผิวขาว แต่มีอันเดอร์โทนเหลืองชัดเจน 04: Natural Beige คำอธิบายเฉดสี: ผิวธรรมชาติโทนเหลือง เหมาะสำหรับผิว/อันเดอร์โทน: ผิวสีเนื้อทั่วไปของคนไทย โทนอุ่น 06: Warm Sand คำอธิบายเฉดสี: ผิวสองสี เหมาะสำหรับผิว/อันเดอร์โทน: ผิวที่มีความเข้มขึ้นมาอีกระดับ มีความอบอุ่น 07: Soft Tan คำอธิบายเฉดสี: ผิวสีน้ำผึ้ง เหมาะสำหรับผิว/อันเดอร์โทน: ผิวสีเข้ม หรือผิวแทน โทนอุ่นเข้ม เทคนิคเลือกเฉดสีให้ "เป๊ะ" ไม่หน้าลอย ทดสอบที่แนวกราม: วิธีที่ดีที่สุดคือการป้าย เฉดสีรองพื้น ที่คุณคิดว่าใกล้เคียง 2-3 สี ลงบนบริเวณแนวกราม (ระหว่างใบหน้ากับลำคอ) รอให้เซ็ตตัว: รองพื้นสูตร คุมมัน มักมีโอกาสสีดรอป (Oxidize) เล็กน้อยเมื่อทำปฏิกิริยากับน้ำมันบนผิว ควรทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วสังเกตสีอีกครั้ง สีที่ถูกต้องคือ สีที่กลืนไปกับสีผิวที่คอของคุณได้มากที่สุด นั่นแหละคือสีรองพื้นที่ ติดทน และทำให้ผิวคุณดูสวยเป็นธรรมชาติ ด้วย 6 เฉดสีรองพื้น ที่ออกแบบมาอย่างพิถีพิถันนี้ รับรองว่าคุณจะสามารถเลือก KMA Water Resist Liquid Foundation ให้ตรงกับผิวของคุณได้อย่างแน่นอน เพื่อผิวสวยเป๊ะ ท้าแดด ท้าเหงื่อ ตลอดวัน
อ่านต่อ >>เลือก รองพื้นคุมมัน ยังไงให้หน้าเป๊ะปัง ไม่เยิ้มระหว่างวัน!
ใครที่มีปัญหา ผิวมัน แบบเราๆ นี่คือเข้าใจเลยนะว่าการแต่งหน้ามันท้าทายเบอร์ไหน! พอเจออากาศร้อนหรือผ่านไปสักพัก หน้าก็จะเริ่มผลิตน้ำมันออกมาเยอะมาก ทำให้รองพื้นหลุดลอก สีดรอป และเป็นคราบได้ง่ายมาก ดังนั้นเวลาเลือก รองพื้นสำหรับผิวมัน มันไม่ใช่แค่ดูสีให้เข้ากับผิวอย่างเดียว แต่ต้องเน้น สูตร และ ฟินิช เป็นพิเศษเลยนะ เพื่อให้ผิวเราดูสวย แมตต์ และเมคอัพ ติดทน ตลอดวัน! 1. สูตรต้องรอด! (Formula) เน้นว่า "ไม่มีน้ำมัน" เท่านั้น! 🙅 สำหรับเพื่อน ผิวมัน อย่างเรา สิ่งแรกที่ต้องเช็คให้ชัวร์คือต้องมีคำว่า "Oil-Free" และ "Non-Comedogenic" ติดอยู่ข้างขวดเลยนะ Oil-Free (ปราศจากน้ำมัน): ก็แน่ล่ะ! ถ้าเราใช้รองพื้นที่มีน้ำมัน มันก็เหมือนเติมน้ำมันเพิ่มให้ผิวตัวเอง หน้าก็จะเยิ้มและหลุดเร็วกว่าเดิมมาก ดังนั้นสูตรที่ไม่มีน้ำมันนี่แหละคือพระเอก! Non-Comedogenic (ไม่อุดตัน): ผิวมันมันชอบเป็นสิวง่ายอยู่แล้วไง ถ้าเลือกแบบไม่อุดตันรูขุมขนก็จะช่วยลดปัญหาเรื่องสิวอุดตันได้เยอะเลย 2. ฟินิช (Finish) ที่ใช่ "แมตต์" คือคำตอบสุดท้าย! 💯 ฟินิชคือผิวที่เราจะได้หลังจากลงรองพื้นเสร็จ ซึ่งสำหรับ รองพื้นสำหรับผิวมัน ต้องพุ่งไปที่ Matte Finish เลย! เพราะมันจะทำให้ผิวดูด้าน ไม่มีความวาว ช่วยคุมมันได้แบบยาวนานมาก หรือถ้าไม่ชอบแบบแมตต์แห้งสนิท จะเลือก Semi-Matte/Natural Finish ก็ได้นะ 🚨 คำเตือนเพื่อนสาว: เลี่ยงพวกสูตร Dewy หรือ Hydrating ไปเลยนะ! มันจะยิ่งทำให้หน้าดูฉ่ำวาวเกินเบอร์และเยิ้มเร็วกว่าเดิมอีก 3. ส่วนผสมลับที่ช่วย "คุมมัน" 🪄 เวลาเลือก รองพื้นคุมมัน ลองพลิกดูส่วนผสมที่ช่วยดูดซับความมันหน่อย อย่างเช่น Silica (ซิลิก้า) หรือ Clay (ดินขาว) พวกนี้จะเป็นตัวช่วยสำคัญในการดูดซับน้ำมันส่วนเกิน ทำให้หน้าเราเนียนกริ๊บ! 4. รูปแบบรองพื้นที่เราคู่ควร 👯 Liquid Foundation สูตร Matte: ตัวนี้ฮิตสุด เพราะเกลี่ยง่าย และเลือกความปกปิดได้ตามใจชอบ Powder Foundation (รองพื้นชนิดแป้ง): ถ้าวันไหนรีบๆ อยากได้เบาๆ แต่ยัง คุมมัน ได้ดี ตัวนี้ตอบโจทย์! 5. ตัวอย่างที่เราเลิฟ! 👇 ถ้ากำลังมองหา รองพื้นคุมมัน ที่ราคาน่ารักและไว้ใจได้ ลองดู KMA Water Resist Liquid Foundation เลยนะ! นางเป็นรองพื้นสูตรกันน้ำกันเหงื่อ ซึ่งเหมาะกับอากาศบ้านเรามาก ช่วยให้ผิว แมตต์ ติดทน ไม่เป็นคราบระหว่างวัน เลิศ! 6. ทริคเตรียมผิว ยิ่งเตรียมดี ยิ่ง "ติดทน" นานนนน! ⏳ แม้ว่ารองพื้นจะดีแค่ไหน การเตรียมผิวก็สำคัญมากนะ! ใช้ไพรเมอร์คุมมัน: ก่อนลงรองพื้น ให้ลงไพรเมอร์คุมมันหรือเบลอรูขุมขนก่อนเลย แนะนำ KMA Secret Poreless Skin Primer ตัวนี้คือช่วยอำพรางรูขุมขนได้ปังมาก! เซ็ตด้วยแป้ง: พอลงรองพื้นเสร็จ อย่าลืมเซ็ตด้วย แป้งฝุ่นโปร่งแสง! ใช้ KMA Transparent Loose Powder กดทับเบาๆ เน้น T-Zone นะ จะช่วย ล็อกรองพื้นติดทน ไม่ให้ไหลเยิ้มได้ตลอดทั้งวันเลย การเลือก รองพื้นคุมมัน ที่ถูกต้องจะช่วยให้เรามีผิว แมตต์ สวยเป๊ะ ไม่ต้องคอยซับหน้าบ่อยๆ แล้ว! สู้ๆ นะเพื่อน! 🥰
อ่านต่อ >>“ค้นหาสีที่ใช่บนผิวคุณ” คู่มือเลือกเฉด KMA Perfect Face Essence Foundation ให้ตรงผิว เป๊ะทุกลุค
“ค้นหาสีที่ใช่บนผิวคุณ” คู่มือเลือกเฉด KMA Perfect Face Essence Foundation ให้ตรงผิว เป๊ะทุกลุค เคยไหม? ซื้อรองพื้นมาหลายขวดแต่ “ไม่เคยได้สีที่ใช่จริง ๆ” ขาวเกินไปก็ดูลอย ดรอปเกินไปก็ดูหมอง จนสุดท้ายต้องผสมกันไปมาในทุกเช้า😩 ไม่ต้องอีกต่อไป! เพราะ KMA Perfect Face Essence Foundation ได้ออกแบบเฉดสีอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ “เข้ากับโทนผิวสาวไทยทุกเฉด” ตั้งแต่ผิวขาวอมชมพูไปจนถึงผิวแทนอบอุ่นให้คุณได้ “ฟินิชผิวแมทเนียน” ที่สวยกลมกลืนเป็นธรรมชาติในทุกสถานการณ์ ✨ 01 Vanilla – สำหรับผิวขาวอมชมพู โทนสว่างนุ่มละมุน เหมาะกับสาวผิวขาวหรือผิวอมชมพูที่อยากได้ลุคผิวใส ๆ สไตล์เกาหลี ให้ความรู้สึกผิวสวยสว่างขึ้นทันทีแต่ไม่ลอย 💡 เหมาะกับลุค: เดย์เมคอัพเบา ๆ, ถ่ายรูปกลางวัน, คาเฟ่ลุคหวาน ๆ 02 Nude – สำหรับผิวขาวเหลือง เฉดนี้คือ “โทนกลางที่รอดทุกสถานการณ์” เหมาะกับสาวผิวขาวเหลืองแบบคนไทยส่วนใหญ่ ให้ฟีลผิวเรียบเนียน สุขภาพดี แต่งหน้าโทนไหนก็เข้ากัน ทั้งลุคหวานหรือมั่นใจแบบ Working Woman 💡 เหมาะกับลุค: Everyday look, วันทำงาน, ลุคสุภาพแต่ยังมีความโกลว์ 04 Sand – สำหรับผิวสีเนื้อโทนเหลือง สีนี้จะช่วยบาลานซ์อันเดอร์โทนผิวให้ดูอุ่นและสม่ำเสมอ เหมาะกับสาวที่อยากได้ผิวเนียนแบบธรรมชาติ ฟินิชดูนุ่มแต่ยังดูแพง ใช้ได้ทั้งกลางวันและกลางคืน 💡 เหมาะกับลุค: ประชุม / พรีเซนต์งาน, งานกลางแจ้ง, หรือออกเดตกลางวัน 07 Sun Beige – สำหรับผิวสองสี โทนนี้คือ “ลุคผิวสวยสุขภาพดี” ที่สาวไทยหลายคนตามหาให้ผิวดูโกลว์อบอุ่นเหมือนเพิ่งกลับจากทะเล ผิวไม่หม่น ไม่เทา เหมาะกับสาวมั่นที่ชอบลุคธรรมชาติแต่เป๊ะในทุกมุมกล้อง 📸 💡 เหมาะกับลุค: ลุคเที่ยวทะเล, งาน Outdoor, ถ่ายรูปคอนเทนต์กลางแดด 08 Honey – สำหรับผิวแทนเข้ม / ผิวอบอุ่น โทนนี้คือ “ผิวสวยแพง” ของจริง! ช่วยขับโทนผิวแทนให้ดูนวลขึ้นโดยไม่เปลี่ยนสีผิวจริง เหมาะกับลุคแฟชั่น หรือวันพิเศษที่ต้องการความมั่นใจขั้นสุด 💡 เหมาะกับลุค: Dinner look, งานกลางคืน, ลุคสาย Strong ที่อยากดูหรูแต่ไม่หนักหน้า 💫 จะโทนไหน...ก็มีเฉดที่ใช่สำหรับคุณ เพราะ Perfect Face Essence Foundation ถูกออกแบบมาให้ “เนียนกลืนกับผิวจริง” ไม่ว่าจะอยู่ในแสงแบบไหน ทั้งแสงไฟออฟฟิศหรือแดดแรงกลางวัน ผิวก็ยังดูแมทเรียบหรู ไม่แห้ง ไม่หมอง 💕 อยากดูฟินิชผิวและคุณสมบัติเต็ม ๆ 👉 คลิกอ่านต่อได้ที่ แมทไหนก็ชนะ ทุกมุม! ฟินิชผิวที่ไม่ดูแห้ง Perfect Face Essence Foundation
อ่านต่อ >>KMA รองพื้นคุมมัน กันน้ำกันเหงื่อ ล็อกผิวสวย ไม่กลัวทุกสถานการณ์
สำหรับทุกคนที่ใช้ชีวิตเต็มที่ ไม่ว่าจะต้องเร่งรีบไปเรียน ทำงาน ออกกำลังกาย หรือแฮงเอาท์หลังเลิกงาน ปัญหาใหญ่ที่สุดของการแต่งหน้าคือ เมคอัพไหลเยิ้ม และความมันระหว่างวัน KMA รองพื้น ตัวนี้จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นฮีโร่ของคุณ! KMA Water Resist Liquid Foundation มั่นใจทุกสถานการณ์ ไม่ว่าเหงื่อจะออกแค่ไหน เมคอัพก็ยังเป๊ะตลอดวัน ด้วยสูตร Oil Free และการปกปิดระดับ Medium to Full ที่ไม่หนักผิว KMA Cosmetics เข้าใจปัญหานี้ดี และได้พัฒนา KMA Water Resist Liquid Foundation SPF30 รองพื้นสูตรพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ "ทุกไลฟ์สไตล์" และเป็น รองพื้นสำหรับทุกเพศ ให้คุณมั่นใจในลุคที่ดูดีได้ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ทำไม KMA Water Resist Liquid Foundation ถึงเป็น Must-Have? นี่คือเหตุผลที่ทำให้ KMA รองพื้น รุ่นนี้ครองใจผู้ใช้ในกลุ่ม New Generation สูตร "กันน้ำ กันเหงื่อ" ที่สุดของความติดทน รองพื้นรุ่นนี้โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี Double Fixing Film Technology ที่ช่วยให้เนื้อรองพื้นยึดเกาะผิวได้แน่น แม้เจอกับความชื้น เหงื่อ หรือน้ำ จึงทำให้เป็น รองพื้นกันน้ำ ที่แท้จริง และมั่นใจได้เลยว่าผิวจะเนียนสวย ไม่เป็นคราบ Oil Free! คุมมันเอาอยู่ตลอดวัน สำหรับคนผิวผสมถึงผิวมัน หรือคนที่กังวลเรื่องความมันบนใบหน้า รองพื้นสูตร Oil Free นี้จะช่วยควบคุมความมันส่วนเกินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวดูแมตต์สวยกำลังดี ไม่มันเยิ้มจนเกินไป จึงเป็น รองพื้นคุมมัน ที่ตอบโจทย์อากาศเมืองไทยที่สุด ปกปิดเนียนกริบ แต่ยังดูเป็นธรรมชาติ (Medium to Full Coverage) เนื้อรองพื้นเหลว เกลี่ยง่าย แต่ให้การปกปิดที่สามารถบิ้วด์เพิ่มได้ตามต้องการ สิ่งสำคัญคือ รองพื้นติดทน รุ่นนี้ไม่รู้สึกหนักผิว และไม่ตกร่อง ทำให้ผิวดูเรียบเนียนเหมือนผิวจริงแต่ดูดีขึ้น พร้อมสู้แดดด้วย SPF 30 ไม่ต้องกังวลเรื่องแสงแดดในชีวิตประจำวัน เพราะมีค่าป้องกันแสงแดด SPF 30 ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV ไปในตัว ถือเป็น 2-in-1 ที่ช่วยประหยัดเวลาในการลงสกินแคร์ไปอีกขั้น เทคนิคการใช้ ผิวสวยเป๊ะใน 3 ขั้นตอน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ของ รองพื้นติดทน ที่ดีที่สุด ลองใช้เทคนิคเหล่านี้ 1. เตรียมผิว ลงสกินแคร์บำรุงผิวตามปกติ (และแนะนำให้ลง KMA ไพรเมอร์ เพื่อเบลอรูขุมขนและเพิ่มความติดทน) 2. ลงรองพื้น บีบรองพื้นในปริมาณที่พอเหมาะ แล้วใช้แปรง, ฟองน้ำ หรือปลายนิ้ว เกลี่ยให้ทั่วใบหน้าและลำคอ เน้นบริเวณที่ต้องการปกปิดเป็นพิเศษ 3. เซ็ตด้วยแป้งฝุ่น เพื่อการล็อกเมคอัพที่สมบูรณ์แบบ แนะนำให้เซ็ตด้วย KMA Transparent Loose Powder (แป้งฝุ่นโปร่งแสง) เพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะบริเวณ T-Zone สรุป: KMA Water Resist Liquid Foundation คือคำตอบสำหรับทุกคนที่กำลังมองหา KMA รองพื้น คุณภาพดี ราคาสมเหตุสมผล ที่สามารถตอบโจทย์ความทนทานและการควบคุมความมันในชีวิตประจำวันที่เร่งรีบได้อย่างแท้จริง หมดปัญหาหน้าดรอป! กล้าใช้ชีวิตแบบไม่ต้องกังวลเรื่องเมคอัพอีกต่อไป 🛒 ช้อป KMA Water Resist Liquid Foundation ได้แล้ววันนี้: ช้อปเลย
อ่านต่อ >>เลือก "รองพื้น" ยังไงให้ตรงผิว 3 สิ่งที่มือใหม่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจซื้อ
รองพื้น (Foundation) คือฐานสำคัญที่สุดของการแต่งหน้า เป็นขั้นตอนที่กำหนดว่าผิวหน้าของคุณจะดูสม่ำเสมอ เรียบเนียน และสดใสตลอดวันหรือไม่ การเลือกรองพื้นผิดเฉด หรือผิดประเภท ไม่ได้เพียงแค่ทำให้ใบหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติเท่านั้น แต่อาจทำให้หน้าหมองคล้ำระหว่างวัน หรือทำให้ผิวมีปัญหา เช่น เกิดสิวอุดตันได้ หากคุณอยากได้ "งานผิว" ที่สวยสมบูรณ์แบบ การเรียนรู้ 3 องค์ประกอบหลักในการเลือกซื้อคือสิ่งที่คุณต้องรู้ 1. เข้าใจสภาพผิวและเลือก Finish ที่เหมาะสม (Know Your Skin Type & Finish) ฟินิช (Finish) คือผลลัพธ์สุดท้ายของรองพื้นที่ปรากฏบนผิวหลังการทา รองพื้นที่ดีต้องทำงานร่วมกับสภาพผิวธรรมชาติของคุณ ไม่ใช่ต่อต้านมัน A. สำหรับผิวมันและผิวผสม (Oily & Combination Skin) ผู้ที่มีผิวมันมักมีปัญหาหน้าวาวในช่วงบ่ายและรองพื้นหลุดง่าย ควรเลือกรองพื้นที่ช่วยควบคุมความมันและยึดเกาะผิวได้ดี ฟินิชที่แนะนำ: แมตต์ (Matte) หรือ ซอฟต์แมตต์ (Soft Matte) จุดเด่น: สูตรเหล่านี้มักมีส่วนผสมที่ช่วยดูดซับน้ำมัน และช่วยอำพรางรูขุมขน ทำให้ผิวดูเรียบเนียนแบบกำมะหยี่ และช่วยให้เมคอัพอยู่ทนแม้ต้องเจอกับเหงื่อ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง: รองพื้นที่มีส่วนผสมของน้ำมัน (Oil-Based) หรือมีฟินิชแบบดิวอี้จัดๆ ซึ่งจะยิ่งทำให้ใบหน้าดูมันเยิ้มเมื่อเวลาผ่านไป B. สำหรับผิวแห้งและผิวธรรมดา (Dry & Normal Skin) ผิวที่แห้งขาดน้ำต้องการความชุ่มชื้นเป็นพิเศษ หากใช้รองพื้นแมตต์เกินไปอาจทำให้เกิดการตกร่องและเห็นผิวแห้งเป็นขุยชัดเจน ฟินิชที่แนะนำ: ดิวอี้ (Dewy), โกลว์ (Glowy) หรือ ซาติน (Satin) จุดเด่น: รองพื้นเหล่านี้มักมีส่วนผสมบำรุงผิว มอบความชุ่มชื้น และให้ผิวดูอิ่มน้ำ มีมิติ ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และสุขภาพดีอย่างเป็นธรรมชาติ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง: สูตรที่แห้งเร็ว หรือเป็นแป้ง (Powder Foundation) เพราะอาจเน้นให้เห็นริ้วรอยและความแห้งของผิวได้ง่าย C. ข้อควรระวังสำหรับผิวแพ้ง่าย (Sensitive Skin) ไม่ว่าจะผิวประเภทใด หากคุณมีผิวแพ้ง่าย หรือเป็นสิวง่าย ควรตรวจสอบส่วนผสมเพิ่มเติม คำแนะนำ: เลือกรองพื้นที่มีคำว่า Non-comedogenic (ไม่อุดตัน), Dermatologist Tested (ผ่านการทดสอบโดยแพทย์ผิวหนัง) และหลีกเลี่ยงส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น น้ำหอม (Fragrance) หรือ แอลกอฮอล์ 2. เลือกเฉดสีที่ตรงกับ "อันเดอร์โทน" (Match the Undertone) นี่คือขั้นตอนที่ผิดพลาดมากที่สุดในการเลือกรองพื้น เพราะหลายคนพยายามเลือกสีที่ ขาวกว่า ผิวจริงเพื่ออยากให้หน้าสว่าง แต่นั่นจะทำให้หน้าดูเทาหรือลอยเมื่อแสงกระทบ A. ทำความรู้จักกับอันเดอร์โทน (Undertone) อันเดอร์โทนคือสีผิวชั้นในที่อยู่ใต้ผิวหนังชั้นนอก ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลัก: อันเดอร์โทนอุ่น (Warm - W) เม็ดสี: โทนเหลืองหรือทองชัดเจน วิธีสังเกตเส้นเลือดที่ข้อมือ: เส้นเลือดมักมีสี เขียว หรือ เขียวอมเหลือง อันเดอร์โทนเย็น (Cool - C) เม็ดสี: โทนชมพู, แดง, หรือน้ำเงิน วิธีสังเกตเส้นเลือดที่ข้อมือ: เส้นเลือดมักมีสี ม่วง หรือ น้ำเงิน อันเดอร์โทนธรรมชาติ (Neutral - N) เม็ดสี: มีสีเหลืองและชมพูผสมกันอย่างสมดุล วิธีสังเกตเส้นเลือดที่ข้อมือ: เส้นเลือดมีทั้งสีเขียวและน้ำเงินปนกัน B. เทคนิคการทดสอบสีรองพื้นที่ถูกต้อง (ฉบับใช้งานได้จริง) การค้นพบเฉดรองพื้นที่สมบูรณ์แบบคือการทำความเข้าใจว่าแสงและเวลาจะเปลี่ยนสีรองพื้นได้อย่างไร และการทดสอบในจุดที่ใกล้เคียงกับผิวหน้าที่สุดโดยไม่ต้องวุ่นวายกับการลากเส้นสามสี ห้ามทดสอบที่หลังมือ! สีผิวที่หลังมือและใบหน้ามีความแตกต่างกันมาก การทาที่หลังมือจะทำให้คุณตัดสินใจผิดพลาดได้ง่าย จุดที่ควรใช้ทดสอบจริง (ถ้าทำได้) หากคุณสามารถทดสอบได้ ให้ทา บริเวณขอบกราม เป็นจุดที่ดีที่สุด เพราะเป็นจุดที่สีผิวหน้าและลำคอมาบรรจบกัน ทำให้ได้เฉดที่กลมกลืนที่สุด เทคนิคการเทียบสีแบบเร่งด่วน ถ้าไม่สะดวกทาที่กราม ให้แต้มรองพื้นเล็กน้อยที่ โหนกแก้ม หรือ แนวคอ แล้วเกลี่ยให้เนียน เฉดที่ใช่: คือเฉดที่ "หายไป" หรือกลมกลืนกับผิวจนคุณแทบมองไม่เห็น ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เกลี่ยแล้วใหม่ๆ หรือผ่านไปสักครู่ เฉดที่ต้องเลี่ยง: ถ้าเฉดนั้นทำให้ผิวดู ขาวลอย หรือ อมเทา ทันที นั่นหมายความว่าอันเดอร์โทนหรือความเข้ม-อ่อนไม่ตรงกับผิวคุณ เคล็ดลับการรอให้รองพื้น "เซ็ตตัว" (สำคัญที่สุด):โดยปกติแล้ว รองพื้นส่วนใหญ่อาจมีปฏิกิริยา "Oxidize" (สีเข้มขึ้นเล็กน้อย) เมื่อทำปฏิกิริยากับน้ำมันบนผิวและอากาศ แม้จะรีบแค่ไหนก็ตาม ควรรอให้รองพื้นที่แต้มไว้ อย่างน้อย 1-2 นาที เพื่อให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของสีที่แท้จริง ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ คำแนะนำสำหรับ "นักช้อปออนไลน์" หากคุณไม่สามารถทดสอบสีได้เลย ให้ดู "วิดีโอรีวิว" หรือ "ภาพเปรียบเทียบ (Swatches)" ของเฉดสีนั้นๆ บนผิวของคนที่มีสีผิวและอันเดอร์โทนใกล้เคียงกับคุณมากที่สุด สิ่งนี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการเลือกเฉดสีผิดได้มาก 3. เลือกความปกปิดที่ตอบโจทย์ (Determine the Coverage Level) ความปกปิด (Coverage) คือการที่รองพื้นสามารถอำพรางร่องรอย จุดด่างดำ หรือความไม่สม่ำเสมอของสีผิวได้มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับโอกาสและการใช้งาน ระดับความปกปิด จุดเด่น และการใช้งานที่เหมาะสม ปกปิดบางเบา (Sheer/Light) จุดเด่น: เน้นความเป็นธรรมชาติสูงสุด ให้ลุคที่เบา สบายผิว ไม่รู้สึกหนักหน้า การใช้งานที่เหมาะสม: เพียงแค่ปรับสีผิวให้ดูสม่ำเสมอเล็กน้อย สำหรับวันที่ต้องการความสดใสแบบเป็นธรรมชาติ ปกปิดปานกลาง (Medium) จุดเด่น: เป็นระดับที่ได้รับความนิยมที่สุด สามารถปกปิดรอยแดงหรือรอยสิวเล็กน้อยได้ดี การใช้งานที่เหมาะสม: สามารถเพิ่ม (Build-up) ความปกปิดเฉพาะจุดที่ต้องการได้ ปกปิดสูงสุด (Full Coverage) จุดเด่น: สามารถปกปิดทุกจุดบกพร่องได้อย่างมิดชิด มักมาในสูตรที่มีพิกเมนต์สูง การใช้งานที่เหมาะสม: เหมาะสำหรับโอกาสพิเศษ งานถ่ายภาพ หรือวันที่ต้องการความสมบูรณ์แบบสูงสุด สรุปและขั้นตอนสุดท้ายก่อนตัดสินใจซื้อ การเลือกรองพื้นไม่ใช่แค่การเลือกเครื่องสำอาง แต่คือการเลือกรองพื้นที่เป็น "ผิวที่ดีที่สุด" ของคุณเอง เมื่อคุณรู้สภาพผิว รู้จักอันเดอร์โทน และตัดสินใจเรื่องระดับการปกปิดได้แล้ว สิ่งสุดท้ายที่คุณควรทำคือ: ทดลองใช้จริง (Sampling) และ สังเกตในสภาพแสงธรรมชาติ เพื่อให้มั่นใจว่าสีจะไม่ผิดเพี้ยนเมื่อคุณออกไปใช้ชีวิตประจำวัน
อ่านต่อ >>
